OVER DRIVE มีประโยชน์อย่างไร แล้วจะใช้ตอนไหนถึงจะดี

ความหมายจริง ๆ ของคำว่า “Overdrive Ratio” คือ “อัตราทดเฟืองเกียร์ที่ทำให้เพลากลางหมุนได้เร็วกว่าเพลาขับตัวเมนของเกียร์” จึงช่วยให้ใช้รอบเครื่องต่ำลงและรถวิ่งเร็วขึ้น ซึ่งตามความหมายนี้ก็พอจะถือได้ว่า พวกเฟืองเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 นั้นเป็นเกียร์ Overdrive ส่วนผลงานของมันจะเป็นอย่างไร ได้ผลมากน้อยขนาดไหน ก็จะต้องขึ้นอยู่กับกำลังเครื่อง อัตราทดเฟืองท้ายเส้นรอบวงยาง น้ำหนักและรูปทรงของรถประกอบกัน

จุดประสงค์หลักของการใช้งานเกียร์โอเวอร์ไดรว์ คือ ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ให้ทำงานน้อยลงกว่าเกียร์อัตราทดปกติ เมื่อขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่เท่ากัน เพื่อเป็นการลดความสึกหรอและมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยลงอย่างเช่น ในเกียร์ 4 ที่มีอัตราทดเกียร์ 1.000 เมื่อวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้รอบเครื่อง 3,400 รอบต่อนาที แต่พอใช้เกียร์ 5 ที่มีอัตราทดเพียง 0.850 ที่ความเร็ว 100 กม./ชม.เท่ากัน ก็อาจจะใช้รอบเครื่องรถยนต์เพียงแค่ 2,800 รอบต่อนาที ย่อมมีการสึกหรอและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื่องยนต์ที่ทำงาน 3,400 รอบต่อนาทีแต่นั้นหมายถึงว่าเราจะต้องวิ่งด้วยความเร็วคงที่เพราะถ้ามีการเร่งแซงและเปลี่ยนแปลงความเร็วบ่อย ๆ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเกียร์ 5 หรือ เกียร์โอเวอร์ไดรว์นี้จะสร้างความประหยัดให้เสมอไป เนื่องจากเกียร์ 5 จะมีอัตราเร่งน้อยกว่าเกียร์ 4 ดังนั้นเมื่อมีการ การเร่งแซงคนขับจึงต้องกดคันเร่งลึกกว่าและนานกว่าเพื่อเรียกแรงม้าแรงบิดออกมาใช้งาน เหมือนกับตอนออกรถซึ่งถ้าออกด้วยเกียร์ 1 กดคันเร่งเบา ๆ ก็ออกตัวไปได้แล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนมาออกตัวด้วยเกียร์ 3 ก็จะต้องกดคันเร่งลึกกว่าเดิมเกียร์ 3 ซึ่งมีอัตราทดต่ำกว่าเกียร์ 1 ในความเร็วเท่ากันก็ใช้รอบเครื่องน้อยกว่า แต่การออกรถด้วยเกียร์ 3 มันไม่ได้ลดการสึกหรอและให้ความประหยัด เหมือนกับการออกรถด้วยเกียร์ 1 เลย ด้วยเหตุนี้หากคิดจะใช้เกียร์ Over drive ให้ได้ประโยชน์จริง ๆ ก็จะต้องใช้ให้เป็นและใช้ให้ถูกวิธีด้วย Continue reading

ล้างรถให้ถูกวิธีตามมาตราฐาน

การล้างรถยนต์เป็นประจำ ช่วยให้คราบสกปรกไม่เกาะแน่นทำให้สีเงางามไม่มีคราบไคลบนสี เฉลี่ยแล้วควรล้างรถยนต์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง การใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น จะเป็นการปัดฝุ่นหรายขูดกับสีจนเป็นรอย จึงไม่จำเป็นต้องปัดฝุ่นใดๆก่อนล้างโดยให้เริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำเปล่าเพื่อชะล้างฝุ่นและกรวดทรายออกจากตัวถังและผิวสีให้มากที่สุด น้ำยิ่งแรงยิ่งดี โดยเริ่มจากด้านบนลงมาด้านข้าง และสุดท้ายเป็นด้านล่าง จากนั้นจึงเริ่มลงแชมพูล้างรถยนต์ โดยเริ่มจากหลังคา กระจกรอบด้าน ตัวถังด้านข้าง และล้อ-ยาง จากนั้นฉีดน้ำเปล่า ล้างฟองแชมพูออกให้หมดและทิ้งไว้สักครู่ Continue reading

GPS ติดรถยนต์ของเล่น หรือ เป็นสิ่งจำเป็น

ความจำเป็นของ GPSNavigator หรือ GPS ไม่ว่าจะเรียกแบบใด ขอให้เข้าใจกันเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่าคือ ระบบแผนที่นำทาง ซึ่งในปัจจุบันเราเริ่มเห็นคนหันมาใช้งานกันมากขึ้นรวมถึงเริ่มมีผู้จำหน่ายมากมายพร้อมกับการอวดอ้างสรรพคุณการใช้งานได้อย่างล้นฟ้าทั้งที่ความจริง เรารู้หรือไม่ว่า ประโยชน์ของการใช้งานมันเป็นอย่างไร

จึงขอนำเสนอเรื่องราวเกร็ดความรู้บางส่วน (เพราะความรู้จริงมีเยอะมากมายเหลือคณานับ) เกี่ยวกับเจ้าเครื่องมือนำทาง แล้วดูว่าสุดท้ายมันจะเป็นแค่ของเล่นหรือจำเป็นต้องมีไว้ใช้

GPS คืออะไร

GPS ย่อมาจากคำว่า Global Positioning System คือระบบนำทางโดยอาศัยการระบุพิกัดตำแหน่งต่างๆ ที่อยู่บนโลกจากสัญญาณดาวเทียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากระบบ Global Navigation Satellite System หรือดาวเทียมสำรวจซึ่งโคจรอยู่รอบโลก

จุดกำเนิดของเจ้า จีพีเอสเกิดจากความบังเอิญของนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาได้แอบติดตามการทำงานของดาวเทียมสปุตนิก ของโซเวียต ตั้งแต่เมื่อปี 1957 แล้วพบการสะท้อนกลับของคลื่นไมโครเวฟ ระหว่างดาวเทียมและพื้นผิวโลก แน่นอนเมื่อเรารู้ตำแหน่งบนพื้นโลก เราก็สามารถระบุตำแหน่งของดาวเทียมบนอวกาศได้ ดังนั้นในทางกลับกันดาวเทียมก็สามารถระบุตำแหน่งต่างๆ บนพื้นโลกได้เช่นกัน เมื่อมันโคจรผ่านตำแหน่งนั้น เมื่อรู้เช่นนี้จึงพัฒนาต่อมาเป็นระบบนำทางในชื่อ จีพีเอส โดยมีกองทัพเรืออเมริกานำไปใช้ทดลองนำทางเรือรบของตัวเองเป็นครั้งแรก แล้วพัฒนามาสู่การใช้งานแบบสาธารณะ Continue reading

11 ข้อน่ารู้ สำหรับยางรถยนต์

ความรู้เกี่ยวกับยางรถยนต์ยางรถยนต์มีหน้าที่ที่ทำให้รถเกาะถนนที่ลื่นและต้องไม่ทำให้รถแฉลบไปมา เมือห้ามล้อหรือเลี้ยว ยางรถยนต์ทั่วไปมีลวดลายเรียกว่าดอกยาง (Tyre threads) ดอกยางประกอบด้วยรอยบากเป็นช่องแคบๆ (sipes) และคดหยักเป็นรูปฟันปลา ทั้งนี้เพื่อช่วยซับน้ำที่ผิวถนนและปล่อยน้ำออกไปทางด้านหลังในขณะที่ ล้อแล่นไปข้างหน้า เมื่อแล่นไปบนถนนที่เปียกแฉะ ยางต้องเคลื่อนย้าย น้ำออกมากกว่า 5ลิตร/วินาทีเพื่อให้รถเกาะถนนได้ดีพอ เมื่อรถแล่นไปบนถนนที่แห้งสนิท ดอกยางก็ไม่จำเป็น ยางเกลี้ยงทำให้ผิวหน้ายางสัมผัสกับถนนมากที่สุด แต่ถ้าใช้ยางเกลี้ยงในเวลามีฝน น้ำบน พื้นถนนจะรวมตัวเป็นผืนที่หน้าล้อและใต้ล้อเป็นเบาะรองล้อเอาไว้ (aquaplaning) จนราวกับว่ารถแล่นไปบนผืนน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ขับขี่ย่อมบังคับรถไม่อยู่ รถส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติงานในทุกสภาพอากาศ ยางจึงต้องมีดอก ต่างจาก รถแข่งซึ่งออกวิ่งเพียงปีละไม่กี่ครั้ง ถ้าหากทางวิ่งแห้ง รถแข่งจะใช้ยางเกลี้ยง (slick)เพื่อให้เกาะถนนได้ดีที่สุด ล้อรถแข่งมีหน้ายางกว้างเป็นพิเศษทำให้เกาะถนนได้ดีกว่ารถธรรมดาทั่วไป แต่ในเวลาที่มีฝนตก รถแข่งก็ต้องเปลี่ยน จากยางเกลี้ยงเป็นยางมีดอก

คำถามคำตอบในส่วนต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่านมีความเข้าใจถึงการดูแลรักษายางอย่างถูกวิธี

1. ยางที่ใช้อยู่ควรจะเติมลมกี่ปอนด์ ?

การเติมลมยางให้ได้อัตราที่ถูกต้อง คือสิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดของการดูแลรักษายาง ยางที่ใช้อยู่ควรสูบลมให้ได้ตามอัตราสูบลมที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดไว้ โดยปกติแล้วอัตราสูบลมที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิดที่โรงงานผู้ผลิต รถยนต์กำหนดไว้นั้น จะระบุไว้ในแผ่นโลหะ หรือสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้บริเวณสันประตูหรือเสากลางข้างตัวรถ หรือติดไว้ในช่องเก็บของภายในรถ นอกจากนั้น ยังมีระบุไว้ในหนังสือคู่มือการใช้รถอีกด้วย แต่หากท่านมิได้ใช้ยางขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ท่านควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตราฐาน สำหรับยางอะไหล่ ท่านควรสูบลมไว้ให้มากกว่ามาตราฐาน 3-4 ปอนด์ และลดลงให้กลับสู่อัตราปกติ เมื่อนำไปใช้ Continue reading

สิ่งที่ควรทำเมื่อคุณขับรถชน

สิ่งควรทำเมื่อขับรถชนในปัจจุบันมีรถยนต์เพิ่มขึ้นมามายบนท้องถนน โดยสังเกตุจากการที่มีรถป้ายแดงจำนวนมากมายบนท้องถนน ด้วยเหตุนี้จึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อให้นักขับรถมือใหม่ป้ายแดงได้เข้าใจ และมีสติกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนถนน หรือ เหตุการณ์ ขับรถเฉี่ยว ชน เสยตูด ถูกปาดหน้าเชื่อว่าผู้ขับรถทุกคนคงต้องประสบพบเจอกันมาบ้างแต่ที่สำคัญไม่เจอจะดีที่สุดครับ แล้วถ้าเกิดคราวเคราะห์วันหนึ่งเหตุการณ์นั้นมาเกิดขึ้นกับรถของเราล่ะ ไม่ว่าจะด้วยความประมาทของคนอื่นที่ขับรถมาชนรถเราหรือเป็นเราเองที่ไปชนรถ คนอื่นเข้า นอกจากควรจะมีสติแล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรนะเพื่อให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีเนื้อความ จากข่าวดังที่ดาราหนุ่มขับรถชนคนตายนั้น กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วไป วันนี้เรามาดูกันว่า หากเราขับรถไปชนกับคนอื่น หรือถูกชนเราควรทำอย่างไร

1. หยุดรถทั้นที ห้ามพูดว่าใครถูกหรือผิด รอประกัน: ให้หยุดรถทันที แม้ว่าจะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยเพียงใด อย่าเลื่อนรถจนกว่าจะตกลงกันได้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ให้รอบริษัทประกันมาเคลียร์จะดีที่สุดเพื่อผลประโยชน์โดยให้บริษัทประกันเป็นฝ่ายคุยกันเอง และถ้าจะให้ดีควรรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการตีเส้นอุบัติเหตุก่อน แล้วจึงค่อยเลื่อนรถเว้นแต่จะเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยว ในกรณีนี้ให้คุณจดเลขทะเบียนรถคู่กรณี สี ยี่ห้อ ตำหนิ เวลาและสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ แล้วขับต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่ชุมชน หรือพบตำรวจอย่าจอดรถในที่เกิดเหตุเป็นอันขาด เพราะเคยมีเหตุการเจ้าของรถถูกจี้ หรือถูกทำร้ายบ่อยๆเมื่อลงจากรถ หลังเกิดเหตุในที่เปลี่ยว

2. อย่าพูดพล่อย เพราะอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายยอมรับ: การขอโทษของคุณ อาจจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอ้างขึ้นมาว่า คุณยอมรับเป็นฝ่ายผิด อีกทั้งไม่ควรกล่าวโทษอีกฝ่าย เพราะคุณยังไม่รู้ท่าทีของอีกฝ่าย การกล่าวโทษ อาจทำให้เหตุการเลวร้ายลงไปอีก จำไว้เสมอว่า คุณไม่มีอำนาจในการตัดสินว่าใครผิดใครถูก แม้แต่เวลาที่คุณคิดว่า คุณเป็นฝ่ายผิด คุณอาจจะไม่ผิดอย่างที่คิดก็ได้ อย่างที่กล่าวไว้ให้รอบริษัทประกันมาเคลียร์จะดีกว่า

3.ให้ข้อมูล: ให้คุณให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณ ชื่อ- ที่อยู่เลขทะเบียนรถ และ ชื่อประกันที่คุณ มีแก่คู่กรณี หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ

4. หาข้อมูล: หลังจากคุณให้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นแล้ว คุณควรขอข้อมูลจากคู่กรณีด้วยเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายไม่ให้ ก็ให้คุณจดเลขทะเบียน รูปพรรณของรถเอาไว้อย่า !พยายามยึดใบขับขี่ของคู่กรณี เพราะคุณอาจโดนข้อหาลักทรัพย์

5. แจ้งตำรวจ หลังเกิดเหตุ: คุณควรแจ้งตำรวจทุกครั้ง แม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อย หรืออีกฝ่ายยอมรับผิดก็ตาม เพราะมิฉะนั้นแล้ว หากอีกฝ่ายแจ้งความในภายหลัง เจ้าหน้าที่จะสรุปว่าคุณหลบหนี และคุณจะเป็นฝ่ายผิดทุกกรณี หากเจ้าหน้าที่ยังไม่มาให้คุณไปแจ้งความยังสถานีตำรวจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูที่เกิดเหตุ และตีเส้นตำแหน่งรถ อย่าเลื่อนรถจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึง หากไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ ให้คุณทำหนังสือยืนยันเหตุการที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐาน โดยลงชื่อยืนยันไว้ทั้ง 2 ฝ่าย อย่าหลงเชื่อคู่กรณี หากบอกว่าไม่ต้องแจ้งตำรวจ เพราะอีกฝ่ายอาจปฏิเสธความรับผิดชอบในภายหลัง ในกรณีนี้ หากคุณไม่มีเจ้าหน้าที่เป็นพยานหรือหนังสือยืนยัน ตามกฏหมายจะถึงว่า คำพูดของคุณอ่อนหลักฐาน

6. หาพยาน: โดยสอบถามจากคนบริเวณที่เกิดเหตุ อาจเป็นคนเดินถนน หรือรถคันข้าง ๆหากเขายินยอมเป็นพยาน ให้คุณจดชื่อ-ที่อยู่เพื่อติดต่อเอาไว้ เพื่อในกรณีเหตุที่ซับซ้อน เช่นคุณกำลังเข้าถนน 4 เลน รถ 2 เลนแรกหยุดให้คุณแล้ว แต่คุณชนรถในเลนที่ 3 ในกรณีนี้ คุณอาจเป็นฝ่ายผิดหากไม่สามารถหาพยานมายืนยันได้

7.ไปโรงพยาบาล: หากคุณสงสัยว่าได้รับบาดเจ็บ ควรไปพอแพทย์เพื่อตรวจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายและการเรียกร้องค่าเสียหายใน ภายหลังจะยากขึ้นด้วย

8. แจ้งความ: ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จะต้องไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ทันที แม้กฏหมายจะผ่อนปรนให้แจ้งความใน 6 เดือน เพราะบริษัทประกันส่วนใหญ่ไม่รับรองใบแจ้งความย้อนหลัง

9. ตกลงเงื่อนไข การจ่ายค่าเสียหาย: เรียกเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาทันที ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สามารถแนะนำคุณได้ว่า ควรให้บริษัทชดใช้ หรือคุณควรจ่ายเอง เพราะเบี้ยประกันของคุณอาจเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 หากค่าชดใช้นั้นเกินกว่าเบี้ยประกัน ร้อยละ 200 (ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกัน)
หากต้องชดใช้ 2,100 บาท ค่าเบี้ยประกันของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,200 บาท คุณอาจจะประหยัดได้มากกว่า หากจ่ายเงินชดใช้ 2,100 บาทเอง

10. อย่ารีบรอมชอม: หลังอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายยอมรับเป็นฝ่ายผิด และคุณสงสัยว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บอย่าเพิ่งรีบรับข้อเสนอให้ยอมความ เพราะการบาดเจ็บของคุณ อาจจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าอาการของคุณรุนแรงเพียงใด หากคุณยอมความไปแล้ว การเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติม จะทำได้ยากขึ้นแต่ถ้าคุณไม่ได้รับบาดเจ็บ และข้อเสนออีกฝ่ายเป็นที่น่าพอใจ ก็ให้คุณยอมความได้ทั้งนี้ทั้งนั้น จากสถิติอุบัติเหตุ ร้อยละ 70 เกิดจากความประมาท การระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำแนะนำทั้ง 10 จะเป็นการดีที่สุด

9 เคล็ดลับการดับไฟรถ

เคล็ดลับที่ 1

โดยปกติแล้วเพลิงไหม้จะเริ่มต้นจาก 3 จุดของตัวรถคือ
1. ห้องเครื่อง สาเหตุเนื่องจากการรั่วของน้ำมันเชื้อเพลิงหรืดน้ำมันหล่อลื่น
2. ใต้แผงหน้าปัด สาเหตุเนื่องจากการลัดวงจรของระบบไฟฟ้า
3. ที่เบาะหลัง สาเหตุเนื่องจากการทิ้งก้นบุหรี่ออกไปนอกรถแต่กลับปลิวไปตกที่บริเวณเบาะหลังโดยไม่รู้ตัว

เคล็ดลับที่ 2

โดยทั่วไปจะมีถังดับเพลิงอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน แต่ที่ท่านควรจะมีติดรถไว้ก็คือ ถังดับเพลิงชนิด ABC ซึ่งสามารถใช้งานได้หลากหลายอเนกประสงค์กล่าวคือชนิด A มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงทั่วไปเช่น ไม้ กระดาษ หรือเครื่องเบาะของรถชนิด B มีคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากของเหลวไวไฟเช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิงชนิด C มคุณสมบัติในการดับเพลิงที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรข้อเสียของถังดับเพลิงชนิด ABC ก็คือผงแป้งละเอียดที่ตกค้างหลังจากการใช้งาน จะกัดกร่อนจุดเชื่อมต่อต่างๆของระบบไฟฟ้าและทำความเสียหายกับสมองกลหรือระบบเกียร์อิเลคทรอนิค ดังนั้นท่านต้องทำความสะอาดอย่างทั่วถึงหลังการใช้งานในการดับไฟนั้น ให้ท่านฉีดผงเคมีไปยังฐาน(ต้นกำเนิด)ของเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้น และกวาดหัวฉีดกลับไปมาอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งไฟดับลง อย่าพ่นสารเคมีไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในอากาศ เพราะนั่นนอกจากจะดับไฟไม่ได้แล้ว ก็ยังทำให้สิ้นเปลืองส่วนประกอบอันมีค่าของเครื่องคับเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์ถ้าหากเกิดไฟไหม้ขึ้นกับเครื่องเบาะรถท่าน ให้ดับไฟที่เบาะด้วยเครื่องดับเพลิงก่อน แล้วจึงรีบดึงเบาะดังกล่าวออกมาจากรถของท่านเพราะบางทีไฟอาจยังคงคุกรุ่นอยู่ในส่วนที่ลึกของเบาะจากนั้นจึงเปิดเบาะออกแล้วฉีดสารเคมีดับเพลิงให้ทั่วถึงต่อไป

Continue reading